คดีฟ้องชู้ และการเรียกค่าทดแทน
คดีฟ้องชู้ และการเรียกค่าทดแทน ปัญหาครอบครัว มีมากมายหลายอย่าง แต่ปัญหาข้อหนึ่งที่มักพบเจอและตกเป็นข่าวเสมอ นั่นคือ ปัญหามือที่ 3 ที่ทำให้เกิดการหย่าร้าง หรือการฆาตกรรม ตามที่เป็นข่าวบ่อย ๆ
ประเด็นเรื่องการคบชู้ ไม่ว่าในฝ่ายหญิงหรือชาย สามารถฟ้องร้องเรียกค่าทดแทน หรือที่เรียกกันว่า ค่าเสียหาย ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 1523 แต่หลักสำคัญคือ หญิงและชายจะต้องจดทะเบียนสมรสกันเสียก่อน
ฝ่ายชายฟ้องชายชู้ของภรรยา
กฎหมายกําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทางชู้สาวก็ได้ สามารถอธิบายโดยสรุปว่า เพียงชายชู้มีพฤติกรรมล่วงเกินภรรยาในทางชู้สาว ก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้เกิดสิทธิฟ้องเรียกค่า ทดแทน โดยการล่วงเกินในทางชู้สาวนั้นไม่จําเป็นจะต้องถึงขั้นว่ามีเพศสัมพันธ์กัน เพียงจับเนื้อต้องตัวกัน ในลักษณะที่ไม่เป็นไปในศีลธรรม หรือในทํานองคลองธรรมในทางเพศ เช่น หอมแก้ม กอดจูบ หรือนอนกอดกัน ก็ถือว่าเป็นการล่วงเกินไปในทํานองชู้สาวแล้ว และยิ่งมีเพศสัมพันธ์กัน ก็ถือได้ว่าเป็นการล่วงเกินในทํานองชู้สาว private detective bangkok
ฝ่ายหญิงฟ้องหญิงชู้ของสามี
กฎหมายกําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้ จะต้องเป็น กรณีที่หญิงชู้หรือภริยาน้อยแสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนเป็นหญิงชู้หรือภริยาน้อยของสามี เช่นมีการพาไปออกงานต่างๆ พาไปแนะนําให้ญาติพี่น้องหรือคนที่ทํางานรู้ว่าเป็นแฟนกัน หรือไปอยู่บ้านเดียวกัน หรือมีบุตรด้วยกันและให้บุตรใช้นามสกุลสามี
ในทางกลับกันเพียงสามีแอบลักลอบไปร่วมประเวณีกับหญิงชู้เป็นครั้งคราว ไม่ถือว่าภริยาน้อย หรือหญิงชู้แสดงตนโดยเปิดเผยว่าตนเองมีความสัมพันธ์กับสามีหรือแอบมาลักลอบได้เสียกัน ถือว่าไม่มีความผิดตามกฎหมายตามมาตรานี้ ถือว่า ไม่มีความผิดตามกฎหมาย ศาลจะถือว่าเป็นการลักลอบได้เสียกัน และมักจะยกฟ้อง
ดังนั้นในกรณี กิ๊กก็ดี หรือหญิงบริการก็ดี หากเป็นกรณีหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน แอบลักลอบไปร่วมประเวณีกับหญิงชู้เป็นครั้งคราว ไม่ถือว่าภรรยาน้อย หรือหญิงชู้แสดงตน โดยเปิดเผยว่า ตนเองมีความสัมพันธ์กับสามีหรือแอบมาลักลอบได้เสียกัน ถือว่าไม่มีความผิดตามกฎหมายตามมาตรา 1523 นี้
10 หลักเกณฑ์ที่ศาลใช้ในการกำหนดเงินค่าทดแทนในคดีฟ้องชู้
1.ฐานะทางสังคมและอาชีพการงาน การศึกษาของทุกฝ่าย ทั้งสามี ภริยา และตัวชู้
ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกำหนดค่าทดแทนในคดีฟ้องชู้ เรื่องฐานะทางสังคมของคู่ความทุกฝ่าย จะเป็นหนึ่งเรื่องที่ศาลหยิบยกมาประกอบการกำหนดค่าทดแทนแทบทุกคดี โดยการวินิจฉัยของศาลนั้น จะวินิจฉัยถึงฐานะทางสังคมของ คู่ความทุกฝ่าย ทั้งตัวสามี ภรรยา และตัวชู้
โดยมีประเด็นที่ศาลมักจะหยิบยกมาวินิจฉัย ในการกำหนดค่าทดแทน เช่น
การศึกษาเป็นอย่างไร
ยิ่งฝ่ายที่มีชู้ หรือคู่สมรสมีการศึกษาสูงมาก หรือจบในวิชาชีพสาขากฎหมายที่จำเป็นต้องทำงานที่ต้องเป็นที่เชื่อถือของสังคมเช่นนิติศาสตร์ แพทย์ ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่จะต้องรู้จักผิดชอบชั่วดีมากกว่าบุคคลอื่นหากกระทำการนอกใจคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำวิธีใช้กำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
ทำอาชีพอะไร
เป็นประเด็นที่สำคัญเพราะถ้าหากเป็นอาชีพที่จะต้องได้รับความเชื่อถือ หรือเป็นที่ยอมรับของสังคมเช่น เป็นครู เป็นหมอ แล้วปรากฏว่ามีพฤติการณ์นอกใจคู่สมรสย่อมถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะวินิจฉัยกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
เป็นที่รู้จักทางสังคมแค่ไหน
บางอาชีพนั้นเป็นที่รู้จักของสังคมอย่างกว้างขวาง เช่นนักการเมือง ดารานักแสดง นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร อาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งเมื่อเกิดเหตุการณ์เป็นชู้ขึ้นแล้วย่อมเป็นที่รู้ของวงสังคมระดับกว้างขวาง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายมาก และศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้สูงขึ้นเช่นกัน
มีรายได้เป็นอย่างไร
รายได้ของคู่ความที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนั้น ยอมเป็นส่วนหนึ่งที่ศาลจะนำมาประกอบว่า ควรจะกำหนดค่าทดแทนเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ถ้าคู่กรณีทุกฝ่ายมีรายได้ไม่เยอะมาก เช่น ทั้งชู้และคู่สมรส เป็นพนักงานบริษัท มีเงินเดือนเพียงเดือนละ 15,000 บาท ศาลก็อาจจะกำหนดค่าทดแทนเป็นจำนวนไม่สูงมาก แต่ถ้าคู่กรณีมีรายได้สูง เช่น ทั้งตัวสามีภริยา และตัวชู้เป็นนักธุรกิจมีรายได้เดือนหนึ่งหลักล้าน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ศาลนำมากำหนดเป็นประเด็นให้ค่าทดแทนสูงขึ้น
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- หนังสือรับรองการทำงาน สลิปเงินเดือน
- วุฒิการศึกษา
- หลักฐานแสดงการประกอบธุรกิจ เช่นหนังรับรองบริษัท
- หลักฐานอื่นๆที่แสดงถึงรายได้ เช่น หลักฐานเกี่ยวกับทรัพย์สินและธุรกิจ
- หลักฐานที่แสดงถึงฐานะทางสังคม เช่นการเป็นผู้นำชุมชน (หนังสือรับรองตำแหน่ง) นักการเมือง ดารานักแสดง
2.แต่งงานกันมานานแค่ไหน ?
กรณีที่คู่สมรสแต่งงานกันมาเป็นเวลานานเช่น แต่งงานกันมาเป็นเวลา 20 ปี มีครอบครัวมั่นคง กรณีนี้ หากมีพฤติการณ์เป็นชู้เกิดชึ้นและทำให้ครอบครัวแตกแยก ค่าทดแทนที่จะได้รับย่อมจะสูงกว่ากรณีที่คู่สมรสเพิ่งแต่งงานกันมาเป็นเวลาไม่นาน เช่น บางกรณีคู่สมรสอาจจะพึ่งจดทะเบียนสมรสกันเพียงไม่กี่เดือนแล้วอีกฝ่ายไปมีชู้
นอกจากนี้ คู่สมรสบางคู่ที่แม้เพิ่งจะจดทะเบียนสมรสไม่นาน แต่ได้อยู่กินร่วมกันมานานแล้ว ก็ควรนำสืบถึงกรณีที่เคยอยู่กินร่วมกันมาก่อนจดทะเบียนสมรสมาเป็นเวลานานด้วย เพื่อประกอบการพิจารณาของศาลว่า ถึงแม้จะจดทะเบียนสมรสมาไม่นานมาก แต่ได้อยู่กินกันมาเป็นเวลาน และมีความรักความผูกพันกับคู่สมรสมาเป็นเวลานาน เพื่อขอให้ศาลกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
พยานหลักฐานที่ใช้การนำสืบ
- ใบสำคัญการสมรส
- หลักฐานการอยู่กินร่วมกันก่อนจะจดทะเบียนสมรส เช่นรูปถ่าย
3.มีการจัดงานแต่งงานกันหรือไม่ ?
คู่สมรสบางคู่นั้นจัดงานสมรสใหญ่โต มีผู้หลักผู้ใหญ่ มีนักการเมืองที่มีชื่อเสียง มีข้าราชการใหญ่ๆมาร่วมเป็นประธานและสักขีพยานในงานพิธี มีแขกเหรื่อ ญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก จัดงานสมรสที่โรงแรมใหญ่โต เสียค่าใช้จ่ายในการจัดงานสมรสเป็นจำนวนมาก ซึ่งกรณีนี้เป็นส่วนหนึ่ง ที่ศาลจะนำมาวินิจฉัยในการกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น เพราะการเป็นชู้จนทำให้ครอบครัวแตกแยกในกรณีนี้ ย่อมทำให้คู่สมรสได้รับความเสียหายอับอายต่อบุคคลอื่นเป็นอย่างมาก เพราะมีสักขีพยาน ร่วมรู้เห็นกับการสมรสเป็นจำนวนมาก
ในทางกลับกันคู่สมรสบางคู่ไม่ได้จัดงานสมรสกันเลย เพียงแต่อยู่กินด้วยกันเฉยๆแล้วจดทะเบียนสมรส กรณีนี้ถ้าเราเป็นฝ่ายจำเลยก็สามารถหยิบยกมาเป็นประเด็นเพื่อต่อสู้ได้ว่าค่าเสียหายในคดีควรจะไม่สูงมาก
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- รูปถ่ายหรือวีดีโอในงานวันสมรส ที่ปรากฎว่ามีคนร่วมงานมากแค่ไหน มีใครเข้าร่วมพิธีการบ้าง
- การ์ดเชิญงานแต่งงาน
- หลักฐานค่าใช้จ่ายในการจัดงานสมรส
4. มีบุตรด้วยกันหรือไม่ ?
ในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน การเป็นชู้ย่อมทำให้ครอบครัวเกิดความแตกแยก ทำให้บุตรได้รับความเดือดร้อนเสียใจ รวมทั้งได้รับความอับอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่บุตรยังเล็กอยู่ การที่ครอบครัวแตกแยกย่อมทำให้บุตรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งทางจิตใจ และอาจจะทำให้ขาดการอุปการะเลี้ยงดูและเอาใจใส่จากคู่สมรสฝ่านที่มีชู้ จนอาจทำให้เป็นเด็กที่มีปมด้อย ดังนั้นในกรณีที่คู่สมรสมีบุตรด้วยกัน และบุตรยังเล็กอยู่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ศาลจะนำมาหยิบยกกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น มากกว่ากรณีที่คู่สมรสไม่มีบุตรด้วยกัน
พยานหลักฐานที่ใช้ในการนำสืบ
- สูติบัตรของลูก
- หลักฐานการศึกษาของบุตร เช่นใบเสร็จค่าเทอม
- หลักฐานเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆของบุตร
5.ความสัมพันธ์ในครอบครัวก่อนเกิดเหตุการณ์มีชู้ เป็นอย่างไร ?
คู่สมรสบางคู่นั้น เขารักกันมากอยู่กินมาด้วยกันเป็นเวลานาน ไม่เคยมีการนอกใจกันเกิดขึ้น ครอบครัวมีความอบอุ่น และมีความสุขกันเป็นอย่างดี แต่ปรากฏว่าเมื่อมีมือที่สามเข้ามา ทำให้ครอบครัวเขาต้องแตกแยก คู่สมรสได้รับความเดือดร้อนเสียหายเสียใจเป็นอย่างมาก กรณีเช่นนี้ศาลมักจะกำหนดค่าทดแทนให้สูง และในกรณีที่เราเป็นทนายความฝ่ายโจทก์ก็ควรจะต้องนำสืบให้ศาลเห็นถึงประเด็นนี้ด้วย
แต่คู่สมรสบางคู่นั้นแยกกันอยู่มาเป็นเวลานาน เพราะทะเลาะกันหรือมีความเห็นไม่ตรงกันจนไม่สามารถอยู่กินร่วมกันได้ แล้วเพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน คู่สมรสบางคู่ ถึงไม่ได้แยกกันอยู่แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานทะเลาะกันระหองระแหงตลอดมา หรืออีกฝ่ายนึงก็มีชู้เป็นประจำ หรือมีการเลี้ยงดูหญิงอื่นเป็นเมียน้อยอีกหลายคนเป็นปกติอยู่แล้ว
กรณีหลังนี้นั้นศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำ เพราะการเป็นชู้หรือมีชู้นั้นไม่ได้เป็นเหตุให้ครอบครัวแตกแยก แต่ครอบครัวนั้นได้มีปัญหาแตกแยกกันมาก่อนที่จะมีชู้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- รูปถ่ายคู่กันระหว่างสามีภริยา รูปถ่ายครอบครัว
- หลักฐานการสนทนา
- การไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสเป็นไปด้วยดีตลอดมา
- พยานหลักฐานที่แสดงว่าหลังเกิดเหตุการณ์มีชู้แล้วครอบครัวแตกแยก
- หลักฐานการทะเลาะด่าทอ หลักฐานการทำร้าย การแจ้งความ
- หลักฐานทางสื่อออนไลน์ต่างๆ
6.พฤติการณ์ในการเป็นชู้ เปิดเผยแค่ไหน ?
พฤติกรรมในการเป็นชู้นั้น บางกรณีมีลักษณะแบบปกปิด ไม่ได้เปิดเผยตัวเองต่อที่สาธารณะ มีลักษณะเป็นการแอบพบเจอกันตามโรงแรม หรือบ้านพักส่วนตัว ไม่มีการนำตัวชู้ไปเปิดเผยให้กับบุคคลอื่นรับทราบในวงกว้าง ไม่มีการนำรูปคู่หรือความสัมพันธ์ไปเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ต่างๆ ซึ่งกรณีนี้ศาลก็จะกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำ เพราะพฤติการณ์ไม่ร้ายแรงนัก ซึ่งหากเราเป็นฝ่ายจำเลยก็ต้องนำสืบประเด็นนี้ให้ศาลเห็น
แต่ในการเป็นชู้บางรายนั้น มีลักษณะเปิดเผยเต็มที่อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดๆ เช่น ลงรูปคู่แสดงความรักกันในสื่อออนไลน์ เช่น facebook หรือ instagram พาไปเที่ยวสถานบันเทิงต่างๆอย่างเปิดเผย แสดงตนโดยเปิดเผยกับเพื่อนๆที่ทำงานทุกคน นำไปให้บิดามารดารู้จัก หรืออยู่กินกันแบบเปิดเผยที่บ้าน หรือบางกรณี ชู้บางคนยังมาระรานหรือด่าเมียหลวงด้วย หรือบางกรณีถึงขั้นจัดงานสมรสกันเลยดังที่เคยเป็นข่าว
กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่มีความสำนึกในศีลธรรมอันดี และศาลจะกำหนดค่าเสียหายให้สูงกว่าปกติ
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- หลักฐานการเป็นชู้ เช่นรูปถ่ายระหว่างชู้กับคู่สมรส
- หลักฐานการแสดงตัว เช่นไปร่วมงานต่างๆ ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ
- หลักฐานที่โชว์ในเฟซบุ๊ก หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่มีการเยาะเย้ย ถากถาง หรือแสดงตัวเปิดเผย
- หลักฐานจากกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่างๆ
- สูติบัตรของบุตรของชู้กับคู่สมรส
- พยานบุคคลที่รู้เห็นเรื่องการเป็นชู้ หรือเห็นว่าชู้กับคู่สมรสเคยมีความสัมพันธ์กัน
- หลักฐานการโอนเงินระหว่างชู้กับคู่สมรส ใบเสร็จค่าสินค้าต่างๆที่ซื้อให้กัน
7.เป็นชู้กันมานานแค่ไหน ?
ในกรณีที่เป็นชู้กันเพียงระยะเวลาไม่นาน เช่น อาจจะเป็นแค่เดือนเดียว อาทิตย์หรือ 2 อาทิตย์ กรณีเช่นนี้ย่อมถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคู่สมรสยังไม่มากเท่าใดนัก ซึ่งศาลก็มักจะกำหนดค่าเสียหายให้ต่ำ
แต่ในกรณีที่พฤติกรรมเป็นชู้มาเป็นเวลานานเป็นปีจนกระทั่งถูกจับได้ เช่นนี้ในระหว่างที่เป็นชู้กันนั้นฝ่ายชู้ อาจได้รับผลประโยชน์ต่างๆ จากคู่สมรสเป็นจำนวนมาก ซึ่งย่อมเป็นประเด็นที่ศาลจะกำหนดค่าทดแทนให้สูงขึ้น
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- หลักฐานการเป็นชู้ เช่นรูปถ่ายในเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ที่มีการปรากฎวันที่ที่แสดงตัว
- หลักการสนทนาผ่านโปรแกรมไลน์ เฟซบุ๊ก หรือสื่อออนไลน์ต่างๆระหว่างชู้กับคู่สมรส
- หลักฐานการโอนเงินให้กันระหว่างชู้กับคู่สมรส
- พยานบุคคลที่รู้เห็นว่า ทั้งสองฝ่ายคบหากันมานานแค่ไหน เช่นเพื่อนร่วมงาน คนแถวบ้าน
8. ฝ่ายชู้ รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว ?
สำหรับบุคคลที่เข้ามาเป็นมือที่สาม หรือเป็นชู้กับคู่สมรสนั้น บางครั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าคู่สมรสฝ่ายนั้นมีสามีหรือภรรยาอยู่แล้ว เพราะบางครั้งคู่สมรสบางคู่ก็ไม่ได้อยู่กินด้วยกันตลอดด้วยเหตุผลทางภาระหน้าที่การงาน หรือเหตุผลส่วนตัว และบางครั้งคู่สมรสที่ไปมีชู้นั้น ก็ไปหลอกลวงหรือแสดงตนกับบุคคลอื่นว่า ตนเองเป็นคนโสด ซึ่งตามกฎหมายแล้วไม่ว่า ชู้จะรู้หรือไม่รู้ว่า บุคคลที่ตนเองเข้าไปมีความสัมพันธ์นั้นมีคู่สมรสอยู่แล้วหรือไม่ ก็ต้องรับผิดทางแพ่งตามกฎหมายไม่สามารถปฏิเสธว่าไม่รู้เพื่อไม่ต้องรับผิดได้
ในกรณีที่ชู้ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว ย่อมถือได้ว่าไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายหรือฝ่าฝืนต่อศีลธรรม ศาลย่อมจะกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำ
แต่ในกรณีที่ฝ่ายชู้ รู้ดีอยู่แล้วว่า อีกฝ่ายนึงมีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่ยังเต็มใจเข้าไปมีความสัมพันธ์ด้วย ย่อมถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่มีความสำนึกในศีลธรรมอันดี ซึ่งศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้สูง
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- หลักฐานการสนทนาผ่านสื่อออนไลน์ ระหว่างชู้กับคู่สมรส หรือชู้กับเพื่อนๆ ที่แสดงให้เห็นว่าชู้รู้อยู่แล้ว ว่าอีกฝ่ายมีคู่สมรสอยู่แล้ว (ธรรมดาแล้วมักจะปรากฎเสมอ ว่าเจ้าตัวจะคุยหรือจะบอกกับเพื่อนหรือคนที่สนิท ถึงประเด็นดังกล่าว)
- พยานบุคคลที่ยืนยันได้ว่า ตัวชู้รู้หรือไม่รู้ว่า คู่สมรสมีสามีภริยาอยู่แล้ว เช่นเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว
9.หลังจากถูกจับได้แล้ว มีพฤติการณ์สำนึกผิดหรือไม่ ?
หลังจากที่ถูกจับได้ว่าเป็นชู้หรือมีชู้กันแล้ว หากคู่สมรสฝ่ายที่มีชู้และฝ่ายตัวชู้สำนึกผิด หยุดความสัมพันธ์ดังกล่าวไว้ทันที พร้อมทั้งแสดงความจริงใจขอขมากับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมถือว่าชู้และคู่สมรสฝ่ายนั้นมีความสำนึกในการกระทำของตนเอง ศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง
แต่หากหลังจากถูกจับได้ว่าเป็นชู้หรือมีชู้กันแล้ว ทั้งสองฝ่ายยังไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ซ้ำร้ายยังไประรานคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง หรือพยายามขอเลิกกับคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง หรือชู้บีบให้คู่สมรสเลิกรากันเพื่อมาอยู่กินกับตนเอง พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่าไม่มีความสำนึกใดๆ และศาลย่อมกำหนดค่าทดแทนให้สูง
พยานหลักฐานที่ใช้นำสืบ
- หลักฐานการเป็นชู้ เช่นรูปถ่ายในเฟซบุ๊ก ไลน์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ ภายหลังการเกิดเหตุ
- พยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์
10.มีการฟ้องหย่าประกอบด้วยหรือไม่ ? อีกฝ่ายได้ทรัพย์สินจากการฟ้องหย่าไปด้วยหรือไม่ ?
ซึ่งประเด็นนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายที่วางหลักว่า หากคู่สมรสมีการฟ้องหย่าประกอบการฟ้องชู้ด้วยนั้น ต้องดูว่ามีการแบ่งทรัพย์สินกันเป็นอย่างไร เช่น สามีมีชู้ ภรรยาจึงฟ้องหย่าพร้อมกับฟ้องชู้ และภรรยาได้รับส่วนแบ่งสินสมรสประมาณ 20 ล้าน ในคดีฟ้องหย่า เช่นนี้ในกรณีฟ้องชู้เรียกค่าทดแทน ศาลอาจจะกำหนดค่าทดแทนให้ต่ำลง เพราะเห็นว่าฝ่ายภรรยาได้ทรัพย์สินสมรสไปส่วนหนึ่งแล้ว
อ่านบทความน่าสนใจถัดไป การทำงานของนักสืบชู้สาว
Be the first to comment on "รู้ไว้ก่อนคิดมี “ชู้ “"